17 มิถุนายน 2025

สวัสดิการบริษัท กับกลยุทธ์ลดอัตราลาออก…เชื่อมโยงกันอย่างไร?
ในยุคที่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงบุคลากรที่มีความสามารถทวีความรุนแรงขึ้น การรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรในระยะยาวกลายเป็นความท้าทายสำคัญของผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรบุคคล หลายองค์กรต้องเผชิญกับอัตราการลาออกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มักเปลี่ยนงานเมื่อพบโอกาสที่ดีกว่า
ผลการศึกษาล่าสุดพบว่า ต้นทุนในการรับพนักงานใหม่ทดแทนพนักงานที่ลาออกนั้นสูงกว่าที่หลายองค์กรคาดการณ์ไว้มาก โดยอาจสูงถึง 1.5-2 เท่าของเงินเดือนต่อปีของตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการสรรหา การฝึกอบรม และผลิตภาพที่สูญเสียไประหว่างช่วงปรับตัว
“สวัสดิการบริษัท” จึงกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่องค์กรชั้นนำนำมาใช้เพื่อสร้างความผูกพันและลดอัตราการลาออกของพนักงาน แต่สวัสดิการแบบไหนที่จะช่วยรักษาพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ? และทำไมสวัสดิการถึงมีผลต่อการตัดสินใจอยู่หรือลาออกของพนักงาน? บทความนี้จะไขข้อข้องใจเหล่านี้พร้อมแนวทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรบุคคล
ความเชื่อมโยงระหว่างสวัสดิการบริษัทกับการลาออก: ข้อมูลเชิงลึกจากการวิจัย
การศึกษาจากสถาบันวิจัยด้านทรัพยากรมนุษย์ชั้นนำพบว่า องค์กรที่มีระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานมีอัตราการลาออกต่ำกว่าองค์กรที่มีสวัสดิการแบบพื้น ฐานถึง 31% นอกจากนี้ ยังพบว่าพนักงานให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์โดยรวมของพนักงาน” (Employee Experience) มากกว่าเงินเดือนเพียงอย่างเดียว
ข้อมูลจากการสำรวจล่าสุดยังระบุว่า 68% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าสวัสดิการเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจอยู่กับองค์กรในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนรุ่น Millennials และ Gen Z ที่มองหาความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวมากกว่าคนรุ่นก่อน
ประเภทของสวัสดิการบริษัทที่มีผลต่อการรักษาพนักงาน
1. สวัสดิการบริษัทด้านสุขภาพและความเป็นอยู่
สวัสดิการด้านสุขภาพยังคงเป็นปัจจัยหลักที่พนักงานให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในยุคหลังโควิด-19 สวัสดิการด้านนี้ได้ขยายขอบเขตจากการประกันสุขภาพแบบพื้นฐานไปสู่แนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ประกอบด้วย:
- ประกันสุขภาพที่ครอบคลุมสมาชิกในครอบครัว
- โปรแกรมสนับสนุนสุขภาพจิต เช่น การให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา
- สวัสดิการด้านการออกกำลังกาย เช่น ค่าสมาชิกฟิตเนส หรือกิจกรรมออกกำลังกายในที่ทำงาน
- วันลาป่วยที่ยืดหยุ่นโดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ในกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อย
กรณีศึกษา: บริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ รายงานว่าหลังจากเพิ่มโปรแกรมสนับสนุนสุขภาพจิตและสุขภาพองค์รวม อัตราการลาออกลดลง 22% ภายในระยะเวลา 1 ปี
2. สวัสดิการบริษัทด้านการเงินและความมั่นคง
นอกเหนือจากเงินเดือนพื้นฐาน สวัสดิการด้านการเงินมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้สึกมั่นคงให้กับพนักงาน ประกอบด้วย:
- โบนัสประจำปีที่สะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทและบุคคล
- โบนัสพิเศษสำหรับการทำงานที่โดดเด่นหรือโครงการสำคัญ
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีสัดส่วนการสมทบจากนายจ้างที่น่าดึงดูด
- สวัสดิการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับที่อยู่อาศัยหรือการศึกษา
- โปรแกรมให้ความรู้ด้านการวางแผนการเงินส่วนบุคคล
ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า องค์กรที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีอัตราสมทบจากนายจ้างตั้งแต่ 7% ขึ้นไป มีอัตราการคงอยู่ของพนักงานสูงกว่าองค์กรที่มีอัตราสมทบต่ำกว่า 5% ถึง 28%
3. สวัสดิการบริษัทด้านการพัฒนาศักยภาพและความก้าวหน้าในอาชีพ
พนักงานยุคใหม่ให้ความสำคัญกับโอกาสในการเติบโตและพัฒนาตนเองอย่างมาก สวัสดิการในกลุ่มนี้ประกอบด้วย
- งบประมาณสำหรับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะประจำปี
- โปรแกรมการศึกษาต่อและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- โครงการหมุนเวียนงานเพื่อเพิ่มประสบการณ์ข้ามสายงาน
- โปรแกรมพี่เลี้ยงและการโค้ชโดยผู้บริหารระดับสูง
- เส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพที่ชัดเจน
จากการสำรวจพนักงานที่ลาออก พบว่า 34% ระบุว่าสาเหตุหลักคือขาดโอกาสในการเติบโตและพัฒนาตนเอง ดังนั้น การลงทุนในสวัสดิการด้านนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาพนักงานที่มีศักยภาพสูง
4. สวัสดิการบริษัทด้านความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
ในยุคหลังโควิด-19 ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่พนักงานใช้ตัดสินใจเลือกองค์กร สวัสดิการในกลุ่มนี้ได้แก่
- นโยบายการทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Working) รวมถึงการทำงานทางไกล (Remote Work)
- วันลาพักร้อนที่มากกว่ากฎหมายกำหนด
- วันลาเพื่อดูแลบุตรหรือผู้สูงอายุในครอบครัว
- วันหยุดพิเศษเพื่อทำกิจกรรมเพื่อสังคมหรืออาสาสมัคร
- บริการดูแลบุตรในสถานที่ทำงานหรือเงินอุดหนุนค่าเลี้ยงดูบุตร
ข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ชั้นนำระบุว่า องค์กรที่มีนโยบายการทำงานแบบยืดหยุ่นมีอัตราการลาออกต่ำกว่าองค์กรที่มีรูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิมถึง 25%
กลยุทธ์การออกแบบสวัสดิการบริษัทเพื่อลดอัตราการลาออก
1. การสำรวจความต้องการที่แท้จริงของพนักงาน
ก่อนลงทุนในสวัสดิการบริษัทใดๆ องค์กรควรเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของพนักงาน วิธีการที่มีประสิทธิภาพได้แก่
- การสำรวจความต้องการของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ
- การจัดกลุ่มสนทนา (Focus Group) ตามช่วงอายุหรือตำแหน่งงาน
- การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ก่อนลาออก (Exit Interview)
- การเปรียบเทียบสวัสดิการกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน (Benchmarking)
การออกแบบสวัสดิการตามความต้องการที่แท้จริงจะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุดและตรงกับความคาดหวังของพนักงาน
2. การสร้างสวัสดิการบริษัทแบบยืดหยุ่น (Flexible Benefits)
แทนที่จะกำหนดสวัสดิการแบบเดียวกันสำหรับทุกคน องค์กรสมัยใหม่หันมาใช้ระบบสวัสดิการแบบยืดหยุ่นที่ให้พนักงานเลือกสวัสดิการตามความต้องการส่วนบุคคล เช่น
- ระบบคะแนนสวัสดิการ (Benefit Points) ที่พนักงานสามารถนำไปแลกเป็นสวัสดิการต่างๆ ตามที่ต้องการ
- การเลือกแพ็คเกจประกันสุขภาพที่เหมาะกับสถานะครอบครัว
- ทางเลือกระหว่างสวัสดิการด้านการเงินกับวันหยุดพิเศษ
ระบบนี้ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของพนักงานต่างวัย ต่างไลฟ์สไตล์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การสื่อสารคุณค่าของสวัสดิการบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ
การมีสวัสดิการบริษัทที่ดีแต่พนักงานไม่ทราบหรือไม่เข้าใจ จะไม่ส่งผลต่อความผูกพันหรืออัตราการคงอยู่ องค์กรควร
- จัดทำคู่มือสวัสดิการที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สะดวก
- จัดประชุมชี้แจงเมื่อมีสวัสดิการใหม่หรือการปรับปรุงสวัสดิการเดิม
- แสดงมูลค่ารวมของสวัสดิการทั้งหมดในรายงานค่าตอบแทนประจำปี
- รวบรวมเรื่องราวความสำเร็จหรือประโยชน์ที่พนักงานได้รับจากการใช้สวัสดิการ
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้พนักงานตระหนักถึงคุณค่าของสวัสดิการที่องค์กรมอบให้ และส่งผลต่อความพึงพอใจโดยรวม
4. การประเมินผลลัพธ์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
สวัสดิการบริษัทควรได้รับการประเมินและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงานและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป องค์กรควร:
- ติดตามอัตราการใช้สวัสดิการแต่ละประเภท
- วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสวัสดิการกับอัตราการลาออก
- เปรียบเทียบต้นทุนของสวัสดิการกับผลลัพธ์ที่ได้รับ
- ปรับปรุงหรือยกเลิกสวัสดิการที่ไม่ตอบโจทย์ และนำทรัพยากรไปลงทุนในสิ่งที่พนักงานต้องการจริงๆ
สวัสดิการบริษัทที่ดีคือการลงทุนที่คุ้มค่า
สวัสดิการบริษัทที่ออกแบบอย่างรอบคอบและตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดอัตราการลาออกและเพิ่มความผูกพันต่อองค์กร แม้จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ แต่เมื่อเทียบกับต้นทุนมหาศาลที่เกิดจากการลาออกของพนักงาน ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
การออกแบบสวัสดิการบริษัทไม่ใช่เพียงการทำตามเทรนด์หรือลอกเลียนบริษัทอื่น แต่ควรเป็นกระบวนการที่พิจารณาความต้องการเฉพาะขององค์กรและพนักงาน ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลและการรับฟังความคิดเห็นอย่างแท้จริง
หากคุณกำลังมองหาแนวทางในการปรับปรุงสวัสดิการเพื่อรักษาบุคลากรคุณภาพให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว FDI Recruitment พร้อมให้คำปรึกษาด้วยประสบการณ์ยาวนานในวงการทรัพยากรบุคคล ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราเข้าใจความต้องการของตลาดแรงงานไทยและแนวโน้มสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดและรักษาพนักงาน